ทิศทางนวัตกรรมเทคโนโลยี ที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อธุรกิจโลจิสติกส์โดยเฉพาะ
นวัตกรรมเทคโนโลยีที่จะนำมาใช้ในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ไทย จะเป็นการประยุกต์ใช้เพื่อผลลัพธ์ด้านการให้บริการ และช่วยลดข้อผิดพลาดต่าง ๆ ซึ่งไม่ใช่เพื่อการลดต้นทุนเพียงอย่างเดียว เพราะสิ่งสำคัญคือเทคโนโลยีจะช่วยลดปัญหาโลกร้อน ปฏิรูปวงการอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ใหม่ ให้เป็นแบบยั่งยืน (Sustainable) โดยไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม และเพื่อให้เทคโนโลยีสามารถขับเคลื่อนธุรกิจทั้งในปัจจุบันและอนาคตได้ การศึกษาแนวโน้มเพื่อสนับสนุนแนวคิดทางเทคโนโลยีจึงเกิดขึ้น เพื่อสร้างความชัดเจนว่า เทคโนโลยีใดมีแนวโน้มที่จะกำหนดอนาคตทางธุรกิจ
1. ปัญญาประดิษฐ์และระบบอัตโนมัติ
ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) และระบบอัตโนมัติ (Autonomous System) เข้ามามีบทบาทและสร้างความนิยมในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์เพิ่มมากขึ้น โดยมีผู้ประกอบการหลายรายเลือกใช้งานเทคโนโลยีเหล่านี้กันอย่างแพร่หลาย เช่น การใช้ยานพาหนะแบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ โดรน และหุ่นยนต์ในคลังสินค้า เป็นต้น และในช่วงเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทั้งระบบอัตโนมัติและ AI ได้เพิ่มการเรียนรู้และมีศักยภาพมากขึ้น ด้วยการสนับสนุนจากเทคโนโลยีการสื่อสาร 5G ที่ช่วยตอบโจทย์ด้านการเพิ่มขีดความสามารถให้ไร้ขีดจำกัด ทำให้อุตสาหกรรมโลจิสติกส์มีต้นทุนด้านแรงงาน และการใช้พลังงานเชื้อเพลิงต่ำลง อีกทั้งสัญญาณของ 5G ยังช่วยป้องกันไม่ให้นวัตกรรมและเทคโนโลยีต่าง ๆ หยุดการทำงาน (Downtime) ในช่วงที่สัญญาณมีปัญหา และอำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการสามารถรวบรวมข้อมูลที่สำคัญจำนวนมากได้ในเวลาอันรวดเร็ว
1.1 ยานพาหนะส่งสินค้าแบบขับเคลื่อนด้วยตัวเอง
เป็นยานพาหนะที่ได้รับการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่การทำงานด้วยระบบอัตโนมัติ แต่ยังต้องอาศัยการควบคุมของคนขับอยู่บ้าง ไปจนถึงการใช้งานระบบอัตโนมัติขั้นสูง ที่ไม่จำเป็นต้องใช้คนขับคอยควบคุม และล่าสุดด้วยศักยภาพของเทคโนโลยีการสื่อสาร 5G ได้ช่วยให้การพัฒนาระบบอัตโนมัติได้เข้าสู่การทำงานอย่างเต็มรูปแบบตลอด 24 ชั่วโมง ในทุกสภาพอากาศ โดยที่ไม่ต้องอาศัยแรงงานจากคนขับ และช่วยประหยัดเชื้อเพลิงและพลังงานได้เป็นอย่างดี
1.2 หุ่นยนต์ภายในคลังสินค้า
การพัฒนาที่เพิ่มทั้งความชาญฉลาด และคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก เพื่อวัตถุประสงค์ในการทำงานแทนที่มนุษย์ภายในคลังสินค้า หรือทำงานต่อจากมนุษย์ได้ เช่น หุ่นยนต์เคลื่อนย้ายสินค้าที่มีน้ำหนักมากภายในคลังสินค้า หุ่นยนต์สำหรับช่วยขนถ่ายสินค้าจากรถบรรทุกเข้าสู่คลังสินค้า และหุ่นยนต์ช่วยจัดสินค้าภายในคลัง เป็นต้น
1.3 รถยกโฟล์คลิฟท์แบบขับเคลื่อนด้วยตนเอง
นวัตกรรมเพื่อความปลอดภัยในการยกตักสินค้าภายในคลังสินค้า ด้วยความชาญฉลาดที่สามารถคำนวณน้ำหนักสินค้าได้ และสามารถตรวจสอบสภาพแวดล้อมโดยรอบได้ว่า มีสิ่งกีดขวาง หรือมีเพื่อนร่วมงานอยู่ในรัศมีการทำงานหรือไม่ ช่วยป้องกันการพลิกคว่ำของรถ และช่วยลดอุบัติเหตุที่อาจนำมาซึ่งความสูญเสียทั้งทรัพย์สินและชีวิตของผู้ขับขี่ หรือเพื่อนร่วมงานที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง
2. เทคโนโลยี IoT เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมโลจิสติกส์
Internet of Things (IoT) คืออีกหนึ่งเทคโนโลยีที่มีส่วนสำคัญในการช่วยยกระดับอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ เพราะเซนเซอร์และอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อ IoT สามารถใช้เพื่อการควบคุมและติดตามวัตถุต่าง ๆ ผ่านเครือข่ายที่มีประสิทธิภาพได้ อีกทั้งการส่งผ่านข้อมูล จะถูกนำไปประมวลผลและส่งกลับไปเพื่อการแสดงผลได้อย่างรวดเร็ว สามารถแจ้งสถานะของวัตถุที่ติดตาม ควบคุมการทำงานได้แบบเรียลไทม์และมีความแม่นยำสูง ผู้ประกอบการโลจิสติกส์สามารถนำไปใช้งานได้หลากหลาย ทั้งงานให้บริการ งานเก็บรวบรวมข้อมูล และงานด้านการรักษาความปลอดภัย เช่น
2.1 การตรวจสอบสถานะของสินค้าทั้งหมดภายในคลังสินค้าว่า มีสถานะอย่างไร ได้รับการขนย้ายหรือยัง หรือการค้นหาสินค้าภายในคลังสินค้าว่าอยู่ในตำแหน่งใด
2.2 สร้างเครือข่ายการขนส่งสินค้าอัจฉริยะ ที่ผู้ประกอบการและลูกค้า จะสามารถติดตามสถานะการจัดส่งได้จากทุกที่ทุกเวลา พร้อมข้อมูลการจัดส่งที่มีความแม่นยำสูง
2.3 ติดตามและควบคุมอุณหภูมิภายในตู้แช่เย็นระหว่างการขนส่งสินค้าแช่แข็งว่า มีสถานะเป็นอย่างไร สินค้าอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์หรือไม่ และ ณ ปัจจุบันสินค้าอยู่ในตำแหน่งใด
2.4 ติดตามและตรวจสอบการคุกคามทางไซเบอร์ พร้อมแจ้งสถานะการถูกคุกคามให้ผู้ดูแลระบบ หรือผู้ประกอบการได้ทราบทันทีที่ตรวจพบความผิดปกติ
3. การใช้งานระบบคลาวด์ เพื่อการเข้าถึงข้อมูลขนาดใหญ่อย่างแม่นยำ
เพื่อเป็นการยกระดับอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ ให้มีการเข้าถึงข้อมูลที่มีความแม่นยำมากขึ้น ระบบคลาวด์ถูกนำมาใช้งานด้านการจัดเก็บข้อมูลได้จำนวนมหาศาล และงานด้านการวิเคราะห์ เพื่อให้ผู้ประกอบการมีข้อมูลอย่างครบถ้วนในการตัดสินใจเรื่องสำคัญต่าง ๆ โดยเฉพาะข้อมูลเชิงลึกที่มีความละเอียดอ่อน การเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ได้จากทุกที่ทุกเวลาจะช่วยให้เกิดความได้เปรียบในด้านการแข่งขันทางธุรกิจ โดยผู้ประกอบการสามารถใช้ข้อมูลจากระบบคลาวด์เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยสำคัญต่าง ๆ ได้ เช่น การปรับปรุงการให้บริการลูกค้า, การตรวจสอบเวลาในการเคลื่อนย้ายสินค้า, การกำหนดเวลาส่งมอบสินค้าที่มีความแม่นยำต่อลูกค้า, การตรวจสอบปริมาณสินค้าคงคลังที่มีอยู่จริงในทุกช่วงเวลา และการศึกษาถึงพฤติกรรมของลูกค้า เป็นต้น นอกจากนี้ยังพบว่า ผู้ประกอบการโลจิสติกส์สามารถใช้ฐานข้อมูลขนาดใหญ่ในคลาวด์ทำการตลาดออนไลน์ เพื่อการเข้าถึงลูกค้ายุคใหม่ได้อย่างตรงเป้าหมายด้วย
เรียกได้ว่าอนาคตของอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ถูกกำหนดด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นหุ่นยนต์, ระบบอัตโนมัติ, AI, IoT และระบบคลาวด์ โดยเทคโนโลยีทั้งหมดนี้ถูกนำมาใช้เพื่อวัตถุประสงค์ต้องการลดต้นทุน พัฒนาธุรกิจให้มีความยั่งยืน และที่สำคัญคือไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ซึ่งหากท่านผู้ประกอบการท่านใดมีความสนใจเพิ่มการลงทุนในเทคโนโลยีอันทันสมัย และอยากขอคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ AIS Business พร้อมสนับสนุนการทำธุรกิจโลจิสติกส์แบบยั่งยืน และส่งเสริมให้อุตสาหกรรมโลจิสติกส์ไทยก้าวขึ้นสู่เวทีเศรษฐกิจโลกอย่างมั่นใจ ด้วยทีมงานที่ปรึกษาผู้มีความเชี่ยวชาญ และโครงข่ายอัจฉริยะ พร้อมกับเทคโนโลยีโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลและแพลตฟอร์มจากพาร์ทเนอร์ระดับโลก เพื่อปูเส้นทางโลจิสติกส์ไทย สู่การสร้างเครือข่ายการขนส่งระดับโลก
BY : NooN (CC)
ที่มาของข้อมูล : www.ais.th