นโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ : อิทธิพลและผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการเมืองโลก
อัพเดทล่าสุด: 7 เม.ย. 2025
40 ผู้เข้าชม
1. นโยบายเศรษฐกิจ: ลดภาษี-กีดกันการค้า
ทรัมป์เริ่มต้นวาระด้วยการผลักดัน การลดภาษีครั้งใหญ่ ผ่านกฎหมาย Tax Cuts and Jobs Act ในปี 2017 โดยลดอัตราภาษีนิติบุคคลจาก 35% เหลือ 21% และลดภาษีให้กับบุคคลธรรมดาในหลายระดับ เพื่อกระตุ้นการบริโภคและการลงทุน
ในด้านการค้าระหว่างประเทศ ทรัมป์ใช้นโยบาย การกีดกันทางการค้า (Protectionism) โดยกำหนด ภาษีนำเข้าสูง กับสินค้าจากจีน เม็กซิโก สหภาพยุโรป และประเทศอื่น ๆ เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ โดยเฉพาะเหล็ก อะลูมิเนียม และยานยนต์ ส่งผลให้เกิด สงครามการค้า โดยเฉพาะกับจีน ซึ่งสร้างความไม่แน่นอนในตลาดการเงินและโลจิสติกส์โลก
2. นโยบายการย้ายถิ่นฐาน: เข้มงวดและปิดกั้น
ทรัมป์ใช้แนวทาง ต่อต้านการเข้าเมืองอย่างเข้มงวด ผ่านการสร้างกำแพงชายแดนกับเม็กซิโก และออกคำสั่งห้ามพลเมืองจากบางประเทศมุสลิมเข้าสหรัฐฯ (Muslim Ban) ซึ่งก่อให้เกิดเสียงวิจารณ์อย่างกว้างขวาง ทั้งในแง่สิทธิมนุษยชนและผลกระทบต่อแรงงานต่างชาติในสหรัฐฯ โดยเฉพาะแรงงานไร้ทักษะ
3. นโยบายด้านสิ่งแวดล้อม: ถอยห่างจากข้อตกลงระหว่างประเทศ
ทรัมป์ประกาศ ถอนตัวจากข้อตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Paris Agreement) โดยให้เหตุผลว่าเป็นภาระต่อเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และส่งผลเสียต่ออุตสาหกรรมในประเทศ เช่น ถ่านหินและพลังงานฟอสซิล ซึ่งขัดแย้งกับทิศทางของประชาคมโลกที่ให้ความสำคัญกับพลังงานสะอาดและการลดคาร์บอน
4. นโยบายต่างประเทศ: สหรัฐฯ ก่อนพันธมิตร
ทรัมป์วิพากษ์วิจารณ์องค์การระหว่างประเทศอย่าง นาโต (NATO) และ องค์การการค้าโลก (WTO) ว่าเอาเปรียบสหรัฐฯ และผลักดันให้นานาชาติ จ่ายส่วนแบ่ง ที่เป็นธรรมมากขึ้น นอกจากนี้ ยังเน้นการเจรจาทวิภาคี (bilateral) แทนการเข้าร่วมในความตกลงพหุภาคี เช่น การถอนตัวจากความตกลง TPP (Trans-Pacific Partnership)
ในทางหนึ่ง นโยบายของเขาทำให้พันธมิตรดั้งเดิมของสหรัฐฯ รู้สึกไม่มั่นคงและเริ่มพึ่งพาตนเองมากขึ้น อีกด้านหนึ่ง ทรัมป์พยายามเปิดการเจรจากับคู่แข่งเช่น เกาหลีเหนือ แม้จะไม่บรรลุผลถาวร แต่ก็เป็นการเปลี่ยนวิธีคิดในการดำเนินนโยบายต่างประเทศ
5. ผลกระทบโดยรวม
นโยบายของทรัมป์ก่อให้เกิดผลกระทบหลายประการ:
สรุป
นโยบายของโดนัลด์ ทรัมป์ถือเป็นจุดเปลี่ยนของทิศทางการเมืองและเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาในศตวรรษที่ 21 ไม่ว่าจะในแง่ผลกระทบที่เป็นรูปธรรม หรือลักษณะวิธีการที่ "สวนทางกับระบบเดิม" ทรัมป์ได้แสดงให้เห็นว่า การเมืองสามารถใช้แนวคิดชาตินิยมและธุรกิจมาเป็นเครื่องมือในการบริหารประเทศได้ ทว่าคำถามที่ยังคงค้างอยู่คือ สหรัฐฯ และโลกพร้อมสำหรับ "แนวทางทรัมป์" หรือไม่ในระยะยาว
ทรัมป์เริ่มต้นวาระด้วยการผลักดัน การลดภาษีครั้งใหญ่ ผ่านกฎหมาย Tax Cuts and Jobs Act ในปี 2017 โดยลดอัตราภาษีนิติบุคคลจาก 35% เหลือ 21% และลดภาษีให้กับบุคคลธรรมดาในหลายระดับ เพื่อกระตุ้นการบริโภคและการลงทุน
ในด้านการค้าระหว่างประเทศ ทรัมป์ใช้นโยบาย การกีดกันทางการค้า (Protectionism) โดยกำหนด ภาษีนำเข้าสูง กับสินค้าจากจีน เม็กซิโก สหภาพยุโรป และประเทศอื่น ๆ เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ โดยเฉพาะเหล็ก อะลูมิเนียม และยานยนต์ ส่งผลให้เกิด สงครามการค้า โดยเฉพาะกับจีน ซึ่งสร้างความไม่แน่นอนในตลาดการเงินและโลจิสติกส์โลก
2. นโยบายการย้ายถิ่นฐาน: เข้มงวดและปิดกั้น
ทรัมป์ใช้แนวทาง ต่อต้านการเข้าเมืองอย่างเข้มงวด ผ่านการสร้างกำแพงชายแดนกับเม็กซิโก และออกคำสั่งห้ามพลเมืองจากบางประเทศมุสลิมเข้าสหรัฐฯ (Muslim Ban) ซึ่งก่อให้เกิดเสียงวิจารณ์อย่างกว้างขวาง ทั้งในแง่สิทธิมนุษยชนและผลกระทบต่อแรงงานต่างชาติในสหรัฐฯ โดยเฉพาะแรงงานไร้ทักษะ
3. นโยบายด้านสิ่งแวดล้อม: ถอยห่างจากข้อตกลงระหว่างประเทศ
ทรัมป์ประกาศ ถอนตัวจากข้อตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Paris Agreement) โดยให้เหตุผลว่าเป็นภาระต่อเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และส่งผลเสียต่ออุตสาหกรรมในประเทศ เช่น ถ่านหินและพลังงานฟอสซิล ซึ่งขัดแย้งกับทิศทางของประชาคมโลกที่ให้ความสำคัญกับพลังงานสะอาดและการลดคาร์บอน
4. นโยบายต่างประเทศ: สหรัฐฯ ก่อนพันธมิตร
ทรัมป์วิพากษ์วิจารณ์องค์การระหว่างประเทศอย่าง นาโต (NATO) และ องค์การการค้าโลก (WTO) ว่าเอาเปรียบสหรัฐฯ และผลักดันให้นานาชาติ จ่ายส่วนแบ่ง ที่เป็นธรรมมากขึ้น นอกจากนี้ ยังเน้นการเจรจาทวิภาคี (bilateral) แทนการเข้าร่วมในความตกลงพหุภาคี เช่น การถอนตัวจากความตกลง TPP (Trans-Pacific Partnership)
ในทางหนึ่ง นโยบายของเขาทำให้พันธมิตรดั้งเดิมของสหรัฐฯ รู้สึกไม่มั่นคงและเริ่มพึ่งพาตนเองมากขึ้น อีกด้านหนึ่ง ทรัมป์พยายามเปิดการเจรจากับคู่แข่งเช่น เกาหลีเหนือ แม้จะไม่บรรลุผลถาวร แต่ก็เป็นการเปลี่ยนวิธีคิดในการดำเนินนโยบายต่างประเทศ
5. ผลกระทบโดยรวม
นโยบายของทรัมป์ก่อให้เกิดผลกระทบหลายประการ:
- เศรษฐกิจในประเทศเติบโตในระยะสั้น จากการลดภาษี แต่ หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น
- ความตึงเครียดทางการค้ากับหลายประเทศ ส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานโลก
- ความแตกแยกในสังคมอเมริกันรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะในประเด็นเชื้อชาติและการเมือง
- ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอ่อนแอลง โดยพันธมิตรดั้งเดิมเริ่มพึ่งพาตนเองและลดการพึ่งพาสหรัฐฯ
สรุป
นโยบายของโดนัลด์ ทรัมป์ถือเป็นจุดเปลี่ยนของทิศทางการเมืองและเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาในศตวรรษที่ 21 ไม่ว่าจะในแง่ผลกระทบที่เป็นรูปธรรม หรือลักษณะวิธีการที่ "สวนทางกับระบบเดิม" ทรัมป์ได้แสดงให้เห็นว่า การเมืองสามารถใช้แนวคิดชาตินิยมและธุรกิจมาเป็นเครื่องมือในการบริหารประเทศได้ ทว่าคำถามที่ยังคงค้างอยู่คือ สหรัฐฯ และโลกพร้อมสำหรับ "แนวทางทรัมป์" หรือไม่ในระยะยาว
บทความที่เกี่ยวข้อง
การจัดการพนักงานเจนใหม่ : เข้าใจ เข้าถึง และสร้างแรงจูงใจ
18 เม.ย. 2025
HRM ในยุคดิจิทัล : การปรับตัวเพื่อความยั่งยืนขององค์กร
18 เม.ย. 2025
การบริหารทรัพยากรมนุษย์ (HRM): หัวใจของความสำเร็จในองค์กร
18 เม.ย. 2025