ทรัมป์ขึ้นภาษี กระทบธุรกิจขนส่งไทยอย่างไร?
ทรัมป์ขึ้นภาษี กระทบธุรกิจขนส่งไทยอย่างไร?
ช่วงที่ผ่านมา ข่าวเกี่ยวกับการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนของอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ อย่าง โดนัลด์ ทรัมป์ กลับมาเป็นประเด็นร้อนอีกครั้ง โดยเฉพาะเมื่อเขาประกาศจุดยืนว่า หากได้กลับมาดำรงตำแหน่ง จะ จัดหนัก ขึ้นภาษีสินค้าจีนแบบไร้ข้อยกเว้น
แม้มาตรการนี้จะดูเหมือนเป็นเรื่องระหว่างสหรัฐฯ กับจีน แต่เชื่อหรือไม่ว่า ธุรกิจขนส่งของไทยเองก็ไม่รอดจากแรงกระเพื่อมครั้งนี้
ทำไมไทยถึงโดนลูกหลง?
1. ห่วงโซ่อุปทานระดับโลก (Global Supply Chain) เชื่อมถึงกัน
หลายบริษัทในไทยเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนหรือประกอบสินค้าที่ส่งออกไปสหรัฐฯ ผ่านจีน เมื่อจีนเจอภาษีสูง ความต้องการลดลง ย่อมกระทบคำสั่งซื้อจากไทยไปด้วย
ส่งผลให้ปริมาณการขนส่งสินค้า ลดลง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
2. ต้นทุนโลจิสติกส์ผันผวน
เมื่อเกิดความไม่แน่นอนทางการค้า ราคาน้ำมันและค่าระวางเรือมีแนวโน้มผันผวน
บริษัทขนส่งต้องเผชิญกับความยากในการบริหารต้นทุน โดยเฉพาะผู้ที่พึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก
3. ความเชื่อมั่นนักลงทุนลดลง
เมื่อตลาดโลกสั่นคลอน นักลงทุนและผู้ประกอบการมีแนวโน้มชะลอการขยายธุรกิจ โลจิสติกส์และขนส่งก็ได้รับผลกระทบต่อเนื่อง
⸻
ธุรกิจขนส่งไทยจะรับมืออย่างไร?
เมื่อเผชิญกับแรงกระแทกจากนโยบายการค้าของประเทศมหาอำนาจ เช่น การขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ธุรกิจขนส่งไทยจึงไม่สามารถอยู่เฉยได้ การวางแผนรับมือและปรับตัวเชิงรุกจะเป็นหัวใจสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจอยู่รอดและเติบโตในระยะยาว ซึ่งแนวทางสำคัญที่ผู้ประกอบการควรพิจารณามีดังนี้:
1. กระจายตลาด หลีกเลี่ยงการพึ่งพาตลาดเดียว
ในยุคที่ตลาดโลกเปลี่ยนแปลงเร็ว การพึ่งพาตลาดเพียงแห่งเดียว เช่น สหรัฐฯ หรือจีน ถือเป็นความเสี่ยงอย่างยิ่ง หากเกิดการเปลี่ยนแปลงทางนโยบายหรือภาษีขึ้น ก็อาจทำให้ปริมาณการขนส่งลดลงอย่างรวดเร็ว
ธุรกิจควรเริ่มมองหา ตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ เช่น
กลุ่ม CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม) ซึ่งมีความต้องการสินค้าไทยสูง และระยะทางใกล้ ช่วยลดต้นทุนโลจิสติกส์
อินเดีย ซึ่งมีประชากรมาก และกำลังซื้อเพิ่มขึ้น
หรือแม้แต่ตลาดในแอฟริกาและตะวันออกกลางที่เริ่มมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานมากขึ้น
การขยายตลาดเหล่านี้ไม่เพียงแค่ช่วยลดความเสี่ยง แต่ยังเปิดโอกาสในการเติบโตใหม่ให้กับธุรกิจขนส่งไทยอีกด้วย
2. ลงทุนในเทคโนโลยีเพิ่มประสิทธิภาพ
ในยุคดิจิทัล การบริหารจัดการขนส่งไม่ควรพึ่งพาแรงงานหรือระบบแบบเดิมอีกต่อไป เทคโนโลยีเข้ามาช่วยให้สามารถควบคุมต้นทุน และเพิ่มความแม่นยำในการให้บริการได้มากขึ้น
ตัวอย่างของเทคโนโลยีที่ควรนำมาใช้ เช่น:
ระบบติดตามสินค้าแบบเรียลไทม์ (Real-time Tracking) ทำให้ลูกค้าเห็นสถานะสินค้าได้ทันที
AI สำหรับวิเคราะห์และคาดการณ์เส้นทางขนส่ง เลือกเส้นทางที่เร็วและคุ้มค่าที่สุด
ระบบจัดการคลังสินค้า (WMS) ที่ช่วยควบคุมสต็อกและบริหารพื้นที่จัดเก็บให้มีประสิทธิภาพ
การลงทุนในเทคโนโลยีอาจมีต้นทุนในช่วงเริ่มต้น แต่ผลตอบแทนในด้านความคุ้มค่าและความสามารถในการแข่งขันในระยะยาวนั้นสูงมาก
3. สร้างพันธมิตรในภูมิภาค
ในโลกธุรกิจ ไม่มีใครต้องเดินคนเดียว การจับมือเป็นพันธมิตรกับผู้ประกอบการในประเทศเพื่อนบ้านหรือภูมิภาคเดียวกัน จะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการให้บริการ
ตัวอย่างแนวทางเช่น:
การร่วมทุนกับบริษัทขนส่งในลาวหรือเวียดนาม เพื่อให้บริการแบบ cross-border logistics ได้อย่างราบรื่น
การเป็นพันธมิตรกับคลังสินค้าในเขตเศรษฐกิจพิเศษ เพื่อลดเวลาในการขนถ่ายและส่งต่อสินค้า
การแบ่งใช้ทรัพยากร เช่น รถขนส่ง พื้นที่เก็บของ หรือเครือข่ายคนขับ เพื่อลดต้นทุนรวม
การมีเครือข่ายที่แข็งแกร่งในภูมิภาคจะทำให้ธุรกิจขนส่งไทยไม่ต้องพึ่งพาแค่เส้นทางหลักเพียงไม่กี่เส้นทาง และสามารถปรับตัวตามสถานการณ์ได้ดีกว่าเดิม
⸻
แม้นโยบายภาษีของทรัมป์จะดูห่างไกลจากธุรกิจขนส่งไทย แต่ในโลกยุคเชื่อมต่อ ทุกการเปลี่ยนแปลงมีผลกระทบเสมอ ผู้ประกอบการควรติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด และวางแผนล่วงหน้าให้รัดกุม เพื่อให้สามารถยืนหยัดในตลาดที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วนี้ได้อย่างมั่นคง