นายกสิงคโปร์โต้ทรัมป์แรง!
นายกสิงคโปร์โต้ทรัมป์แรง! ยืนยันอาเซียนไม่ใช่เบี้ยล่างใคร
สถานการณ์การเมืองโลกเริ่มร้อนระอุขึ้นอีกครั้ง เมื่อโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ออกมาให้สัมภาษณ์พาดพิงถึงประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะสิงคโปร์ว่า พึ่งพาสหรัฐฯ มากเกินไปแต่กลับไม่ตอบแทนอย่างเหมาะสม สร้างแรงกระเพื่อมในวงการการทูตในทันที
แต่สิ่งที่หลายคนไม่คาดคิดคือ นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ ลอว์เรนซ์ หว่อง ออกมาตอบโต้คำพูดของทรัมป์อย่างตรงไปตรงมาและชัดเจนว่า
สิงคโปร์ไม่ใช่ประเทศที่ยอมก้มหัวให้ใคร และเราไม่ใช่เบี้ยล่างของใครทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐฯ หรือมหาอำนาจใดๆ
คำตอบนี้ไม่เพียงแค่สื่อถึงจุดยืนของสิงคโปร์ในฐานะประเทศเล็กที่มีอธิปไตยชัดเจน แต่ยังสื่อถึงความภาคภูมิใจในความเป็นอาเซียนอีกด้วย นายกฯ หว่องยังกล่าวต่อว่า ประเทศในอาเซียนร่วมมือกันบนพื้นฐานของความเสมอภาคและผลประโยชน์ร่วม ไม่ใช่การอยู่ใต้อิทธิพลของชาติใดชาติหนึ่ง
หลายฝ่ายมองว่านี่คือสัญญาณที่แสดงให้เห็นว่า ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เริ่มมีเสียงที่หนักแน่นขึ้น บนเวทีโลก โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเพียงแค่มหาอำนาจแบบในอดีตอีกต่อไป
ทรัมป์กล่าวหาสิงคโปร์และประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ว่า ได้รับประโยชน์จากสหรัฐฯ โดยไม่ตอบแทนอย่างยุติธรรม ซึ่งไม่ใช่ครั้งแรกที่ทรัมป์แสดงท่าทีแบบ America First แต่ครั้งนี้ สิงคโปร์ไม่เลือกที่จะนิ่งเฉย
คำตอบของนายกฯ สิงคโปร์ ไม่ใช่เพียงการโต้แย้ง แต่คือการประกาศจุดยืน
เขากล่าวชัดว่า สิงคโปร์จะไม่เป็นเบี้ยล่างของใคร และ อาเซียนมีศักดิ์ศรีของตัวเอง การออกมาตอบโต้ครั้งนี้ถือเป็นการตอกย้ำแนวทางการทูตของสิงคโปร์ที่เน้นความสมดุล (strategic balance) ระหว่างมหาอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นจีนหรือสหรัฐฯ
การเมืองของประเทศเล็กในยุคใหม่: จาก ผู้ตาม สู่ ผู้กำหนดเกม บางส่วน
แม้สิงคโปร์จะเป็นประเทศเล็กในเชิงขนาดและกำลังทหาร แต่กลับมีบทบาทโดดเด่นทางเศรษฐกิจ การเงิน และการทูต ด้วยตำแหน่งที่ตั้งยุทธศาสตร์ในช่องแคบมะละกา และสถานะทางเศรษฐกิจที่มั่นคง สิงคโปร์จึงกลายเป็นจุดเชื่อมสำคัญระหว่างตะวันออกกับตะวันตก และมีความสามารถในการ เลือกข้างอย่างมีชั้นเชิง โดยไม่ถูกลากเข้าสู่เกมของมหาอำนาจโดยง่าย
อาเซียนในสายตาโลก: การรวมกลุ่มที่เริ่มส่งเสียง
คำกล่าวของผู้นำสิงคโปร์สะท้อนถึงอัตลักษณ์ร่วมของอาเซียนที่พยายามจะไม่ให้ภูมิภาคนี้กลายเป็นสนามประลองของมหาอำนาจอีกครั้ง อาเซียนแม้จะมีจุดอ่อนเรื่องความแตกต่างภายใน แต่ก็พยายามรักษา หลักอาเซียนเป็นศูนย์กลาง (ASEAN centrality) บนเวทีการเจรจาระดับโลก เช่น APEC, G20 และเวทีความมั่นคงระดับภูมิภาค
คำถามสำคัญคือ สหรัฐฯ ในยุคทรัมป์ (ถ้าเขากลับมาดำรงตำแหน่ง) จะเปลี่ยนแปลงนโยบายต่อเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างไร? และประเทศในอาเซียนพร้อมแค่ไหนที่จะรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่อาจจะมาในรูปแบบที่ เอาเปรียบกว่าที่เคย
เสียงจากประเทศเล็ก กำลังดังก้อง
เหตุการณ์นี้จึงไม่ใช่เพียงการตอบโต้ระหว่างผู้นำสองคน แต่คือสัญญาณว่า ประเทศเล็กไม่ได้หมายถึงประเทศที่ไร้อำนาจ อีกต่อไป
เสียงของสิงคโปร์ในครั้งนี้ คือเสียงของอาเซียน เสียงของประเทศกำลังพัฒนา และเสียงของโลกที่ไม่ยอมตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของใครฝ่ายเดียวอีกต่อไป