วิธีลดต้นทุนโลจิสติกส์สำหรับธุรกิจขนาดเล็ก
การลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์สำหรับธุรกิจขนาดเล็กสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและกำไรของธุรกิจได้อย่างมาก นี่คือวิธีลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์ที่ธุรกิจขนาดเล็กสามารถนำไปใช้ได้ :
1. การวางแผนเส้นทางการขนส่งที่มีประสิทธิภาพ
ใช้เทคโนโลยีในการวางแผนเส้นทางเพื่อหาวิธีที่เร็วที่สุดและใช้เชื้อเพลิงน้อยที่สุดในการขนส่ง จะช่วยลดต้นทุนเชื้อเพลิงและเวลาที่ใช้ เช่น
วางแผนเส้นทางให้สั้นและตรงที่สุด รวมถึงหลีกเลี่ยงเส้นทางที่มีการจราจรหนาแน่นหรือเส้นทางที่มีข้อจำกัดทางกายภาพ เช่น ทางเล็กหรือถนนที่ชำรุด
วางแผนเส้นทางที่ประหยัดเชื้อเพลิง เช่น การหลีกเลี่ยงการเร่งเครื่องบ่อยครั้งหรือการเบรกบ่อยเกินไป การเลือกเส้นทางที่ไม่มีความลาดชันมากเพื่อประหยัดเชื้อเพลิง
- วางแผนเส้นทางอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อให้สามารถขนส่งสินค้าได้มากขึ้นในแต่ละวัน เช่น การรวมหลาย ๆ จุดหมายปลายทางไว้ในเส้นทางเดียว
2. การรวมการขนส่ง (Consolidation)
การรวมสินค้าในการขนส่งเพื่อให้สามารถขนส่งหลายรายการในครั้งเดียวกัน ซึ่งจะช่วยลดจำนวนเที่ยวขนส่งและประหยัดค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิงและเวลาทำงาน เช่น
แทนที่จะส่งสินค้าทีละรายการหรือลูกค้าทีละคน การรวมสินค้าหลายรายการเข้าไปในยานพาหนะเดียว ทำให้ลดจำนวนเที่ยวที่ต้องขนส่ง
การส่งสินค้าหลายรายการในครั้งเดียวหมายความว่ารถขนส่งจะถูกใช้งานอย่างเต็มที่ในทุกการเดินทาง ลดการขับรถโดยไม่มีสินค้า (empty backhaul)
รวมการจัดส่งหลายรายการในครั้งเดียวช่วยลดภาระในการบริหารจัดการงานขนส่ง เช่น การติดต่อและประสานงานขนส่งหลายเที่ยวจะน้อยลง รวมทั้งการลดขั้นตอนในกระบวนการจัดส่ง
- การรวมการขนส่งหลายรายการอาจทำให้ปริมาณสินค้าที่ขนส่งในแต่ละครั้งมากขึ้น ทำให้ธุรกิจมีอำนาจในการต่อรองราคากับผู้ให้บริการขนส่งมากขึ้น
3. ใช้ซอฟต์แวร์โลจิสติกส์
ใช้ซอฟต์แวร์ในการจัดการคลังสินค้าและการขนส่ง เพื่อติดตามสถานะของสินค้า ลดข้อผิดพลาด และเพิ่มความคล่องตัวในกระบวนการ เช่น
ซอฟต์แวร์โลจิสติกส์สามารถคำนวณเส้นทางที่เร็วและประหยัดเชื้อเพลิงที่สุดได้ โดยพิจารณาจากสภาพจราจร สภาพถนน และระยะทาง
ซอฟต์แวร์ช่วยติดตามตำแหน่งของยานพาหนะและสถานะการขนส่งแบบเรียลไทม์ ทำให้สามารถปรับเปลี่ยนเส้นทางหรือแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
- ซอฟต์แวร์ช่วยติดตามตำแหน่งของยานพาหนะและสถานะการขนส่งแบบเรียลไทม์ ทำให้สามารถปรับเปลี่ยนเส้นทางหรือแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
4. การเลือกซัพพลายเออร์ที่ใกล้ที่สุด
การเลือกซัพพลายเออร์ที่อยู่ใกล้จะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการขนส่ง ลดระยะทางในการขนส่ง และลดเวลาในการจัดส่งสินค้า เช่น
การเลือกซัพพลายเออร์ที่อยู่ใกล้ทำให้ระยะทางในการขนส่งสินค้าสั้นลง ซึ่งช่วยลดการใช้เชื้อเพลิงและค่าใช้จ่ายในการขนส่ง ลดค่าน้ำมัน ค่าบำรุงรักษารถยนต์ และลดความเสี่ยงจากการขนส่งในระยะทางไกล เช่น อุบัติเหตุหรือความล่าช้า
การขนส่งระยะไกลมักมีความเสี่ยงสูงกว่า เช่น สินค้าเสียหายจากการขนส่ง หรืออุบัติเหตุบนท้องถนน การเลือกซัพพลายเออร์ที่ใกล้สามารถลดโอกาสในการเกิดความเสียหายของสินค้าได้
- การทำงานกับซัพพลายเออร์ที่อยู่ใกล้ช่วยให้การติดต่อประสานงานง่ายขึ้น สามารถตรวจสอบสินค้า การผลิต หรือคุณภาพได้บ่อยครั้งขึ้น และแก้ไขปัญหาได้รวดเร็ว
5. ใช้บริการขนส่งแบบร่วมมือ (Collaborative Shipping)
เป็นแนวคิดที่องค์กรหรือธุรกิจหลายรายร่วมมือกันใช้ทรัพยากรด้านการขนส่งร่วมกัน เช่น ยานพาหนะ เส้นทาง หรือศูนย์กระจายสินค้า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการขนส่งและลดต้นทุนในหลายด้าน
การขนส่งร่วมมือช่วยให้ธุรกิจต่าง ๆ สามารถใช้ยานพาหนะร่วมกันในเส้นทางเดียวกัน โดยบรรทุกสินค้าหลายเจ้าพร้อมกัน ทำให้ใช้ประโยชน์จากความจุของรถได้เต็มที่
ในระบบขนส่งแบบร่วมมือ ยานพาหนะจะถูกใช้งานอย่างคุ้มค่า ลดการเดินรถเปล่า (empty backhaul) ซึ่งหมายถึงการขับรถกลับโดยไม่มีสินค้าบรรทุก ลดค่าใช้จ่ายในการขนส่งเที่ยวเปล่า และเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งในแต่ละเที่ยว ลดการสึกหรอของรถและลดความจำเป็นในการซ่อมบำรุงบ่อยครั้ง
การขนส่งร่วมกันช่วยให้ธุรกิจหลายรายแบ่งปันค่าใช้จ่ายในการขนส่ง เช่น ค่าบำรุงรักษารถ ค่าพนักงานขับรถ และค่าเช่ารถบรรทุก ลดต้นทุนต่อหน่วยสินค้าของแต่ละธุรกิจ เพราะค่าใช้จ่ายถูกแบ่งระหว่างผู้ใช้งานหลายราย ทำให้ค่าใช้จ่ายโดยรวมลดลง
- การร่วมมือในการขนส่งช่วยให้ธุรกิจสามารถวางแผนเส้นทางที่มีประสิทธิภาพและลดระยะทางได้มากขึ้น โดยไม่ต้องใช้ยานพาหนะหลายคันสำหรับเส้นทางที่ใกล้เคียงกัน
มาตรฐานการบริการจึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างประสิทธิภาพและความสำเร็จให้แก่องค์กรในการให้บริการลูกค้าอย่างมืออาชีพ
BY : NOON (CC)
ที่มาของข้อมูล : chatgpt.com