การเรียนรู้แบบไม่มีผู้ดูแล (Unsupervised Learning)
คือ เทคนิคในปัญญาประดิษฐ์ที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล โดยที่โมเดลจะเรียนรู้จากข้อมูลที่ไม่มีป้ายกำกับ (label) หรือคำตอบที่ชัดเจน เป้าหมายหลักคือการค้นหาความสัมพันธ์หรือโครงสร้างภายในข้อมูล เช่น การจัดกลุ่ม (clustering) และการลดมิติ (dimensionality reduction)
ตัวอย่างของการใช้ Unsupervised Learning ได้แก่
การจัดกลุ่ม (Clustering) : เช่น การจัดกลุ่มลูกค้าในตลาดเพื่อทำการตลาดที่ตรงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น
การลดมิติ (Dimensionality Reduction) : เช่น การใช้ PCA (Principal Component Analysis) เพื่อทำให้ข้อมูลที่มีมิติสูงสามารถแสดงผลในมิติต่ำกว่าได้
ขั้นตอนการทำงาน Unsupervised Learning
ขั้นตอนการทำงานของ Unsupervised Learning สามารถสรุปได้เป็นขั้นตอนหลัก ๆ ดังนี้
การเตรียมข้อมูล
- รวบรวมข้อมูลที่ไม่มีป้ายกำกับ (label) เช่น ข้อมูลจากเซนเซอร์ ข้อมูลจากเว็บ หรือข้อมูลการขาย
- ทำความสะอาดข้อมูล เช่น กำจัดค่าที่ขาดหายไป (missing values) และจัดการกับข้อมูลที่ไม่สอดคล้อง
การสำรวจข้อมูล (Exploratory Data Analysis - EDA)
- วิเคราะห์และทำความเข้าใจลักษณะของข้อมูล เช่น การแจกแจง (distribution), ค่าที่โดดเด่น (outliers), และความสัมพันธ์ระหว่างฟีเจอร์ต่าง ๆ
การเลือกโมเดล
- เลือกเทคนิค Unsupervised Learning ที่เหมาะสม เช่น Clustering (K-Means, Hierarchical Clustering) หรือ Dimensionality Reduction (PCA, t-SNE)
การสร้างโมเดล
- นำข้อมูลไปใช้ในการฝึกโมเดล โดยการปรับพารามิเตอร์ที่เหมาะสม
การประเมินผล
- ใช้เทคนิคต่าง ๆ เพื่อประเมินผลลัพธ์ เช่น การวิเคราะห์ความสอดคล้องของกลุ่มที่ได้ หรือการใช้ดัชนี (indices) เช่น Silhouette Score
การตีความผลลัพธ์
- วิเคราะห์และตีความข้อมูลที่ได้จากโมเดล เช่น การทำความเข้าใจลักษณะของกลุ่มลูกค้า หรือการแสดงผลข้อมูลที่ลดมิติ
การนำไปใช้งาน
- นำผลลัพธ์ที่ได้ไปใช้ในธุรกิจหรือการตัดสินใจ เช่น การตลาดเฉพาะกลุ่มหรือการวางแผนกลยุทธ์
การปรับปรุงและวนรอบ
- ทำการปรับปรุงโมเดลหรือกลยุทธ์ตามผลลัพธ์ที่ได้ และวนกลับไปยังขั้นตอนต่าง ๆ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น
ข้อดี -ข้อเสีย Unsupervised Learning
ข้อดี
ไม่ต้องใช้ป้ายกำกับ
- สามารถทำงานกับข้อมูลที่ไม่มีป้ายกำกับ ทำให้ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาในการสร้างชุดข้อมูลที่มีการระบุคำตอบ
ค้นพบโครงสร้างใหม่
- สามารถค้นพบรูปแบบหรือโครงสร้างในข้อมูลที่อาจไม่เป็นที่รู้จัก ทำให้เกิดความเข้าใจที่ลึกซึ้งขึ้นเกี่ยวกับข้อมูล
ใช้ในหลายบริบท
- สามารถนำไปใช้ในหลากหลายสถานการณ์ เช่น การจัดกลุ่มลูกค้า การวิเคราะห์ตลาด หรือการลดมิติของข้อมูล
ปรับปรุงการวิเคราะห์
- สามารถใช้ในการเตรียมข้อมูลสำหรับการเรียนรู้แบบมีผู้ดูแล (Supervised Learning) โดยช่วยในการสร้างฟีเจอร์ใหม่
ข้อเสีย
การตีความผลลัพธ์ยาก
- ผลลัพธ์ที่ได้อาจจะยากต่อการตีความ เพราะไม่มีการระบุป้ายกำกับให้เข้าใจชัดเจน
ความไวต่อการเลือกพารามิเตอร์
- ผลลัพธ์สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามการตั้งค่าพารามิเตอร์ เช่น จำนวนกลุ่มใน Clustering
ไม่มีการประเมินผลที่ชัดเจน
- ไม่มีวิธีการประเมินผลที่ชัดเจนในการตัดสินว่าโมเดลทำงานได้ดีหรือไม่ เช่น ไม่มีค่า Accuracy
อาจสร้างกลุ่มที่ไม่เป็นประโยชน์
- หากข้อมูลมีความซับซ้อนหรือมีเสียงรบกวนมาก โมเดลอาจสร้างกลุ่มที่ไม่สัมพันธ์กันหรือไม่มีประโยชน์
BY: Patch
ที่มา: CHAT GPT