Influencer Marketing คือ
การตลาดโดยใช้บุคคลที่มีชื่อเสียงมาช่วยในการโฆษณา ช่วยรีวิวสินค้า ช่วยแนะนำบริการ ให้กับสินค้าและบริการ ให้กับแบรนด์ โดยกลุ่ม Influencers ส่วนใหญ่จะใช้ช่องทางออนไลน์ เช่น Facebook,IG,Youtube,Tiktok เป็นช่องทางให้การโฆษณา,รีวิวสินค้า ,รีวิวบริการ ของแบรนด์
สรุป 15 คำศัพท์ ตัวชี้วัดการตลาด Influencer Marketing ที่ครีเอเตอร์ ต้องรู้
ขั้นที่ 1 Top of Funnel คือ ตัวชี้วัดที่เน้นการสร้างการรับรู้ต่อแบรนด์ (Brand Awareness)
1. Impression & Reach
Impression คือ จำนวนครั้งที่โพสต์ถูกแสดง (นับการมองเห็นซ้ำ)
Reach คือ จำนวนคนที่เห็นโฆษณา (ไม่นับซ้ำบัญชีเดิม)
2. Cost Per Mile (CPM)
คือ ต้นทุนต่อการแสดงโฆษณา 1,000 ครั้ง มีสูตรการคำนวณคือ
CPM = (ค่าใช้จ่ายในการโฆษณา / Impression) x 1,000
ตัวอย่างการคำนวณ เช่น เรามีงบโฆษณา 10,000 บาท สร้างการแสดงผลโฆษณาได้ 100,000 ครั้ง จะได้
CPM = (10,000 / 100,000) x 1,000 = 100
ซึ่งความหมายก็คือ แบรนด์มีต้นทุน 100 บาท ต่อการแสดงผลโฆษณาทั้งหมด 1,000 ครั้ง
3. Earned Media Value (EMV)
คือ มูลค่าที่เกิดขึ้นจากสื่ออื่นที่พูดถึงแบรนด์ของเรา โดยเราไม่ได้เสียค่าใช้จ่ายเอง ซึ่งมักเกิดจากการพูดกันแบบปากต่อปาก การรีวิว หรือการพูดถึงจากสื่ออื่น ๆ
โดยสูตรการคำนวณคือ EMV = จำนวนการแสดงผลทั้งหมดที่ถูกสร้างขึ้น x CPM
ซึ่ง Cost Per Mile (CPM) ที่ใช้ในการคำนวณ จะเป็นการประมาณเบื้องต้น ตามค่าเฉลี่ยของมูลค่าสื่อในแต่ละแพลตฟอร์ม
อย่างไรก็ตาม การวัดผลด้วย EMV ก็มีข้อจำกัดคือ เก็บข้อมูลให้ครบถ้วนได้ลำบาก จึงวัดผลจริงได้ยาก
4. Follower Growth
ยอดการเติบโตของผู้ติดตาม เป็นตัวชี้วัดสำคัญของแบรนด์ว่า หลังจากทำ Influencer Marketing แล้ว
มีคนสนใจในคอนเทนต์และสินค้าของเราเพิ่มมากขึ้นแค่ไหน เมื่อเปรียบเทียบกับก่อนทำแคมเปญ
ซึ่งพวกเขาเหล่านี้ คือคนที่มีโอกาสจะกลายเป็นลูกค้าในภายหลังได้
โดยส่วนใหญ่แล้ว Follower Growth จะคำนวณเป็นจำนวนผู้ติดตามที่เพิ่มขึ้นแบบตรง ๆ เปรียบเทียบระหว่างช่วงเวลาที่กำหนดเลยก็ได้
หรือจะคำนวณจำนวนผู้ติดตามที่เพิ่มขึ้นได้จากสูตร Follower Growth Rate
Follower Growth Rate = [(จำนวนผู้ติดตามหลังการทำแคมเปญ - จำนวนผู้ติดตามก่อนการทำแคมเปญ) / จำนวนผู้ติดตามก่อนการทำแคมเปญ] x 100
ตัวอย่างการคำนวณ ก่อนทำแคมเปญ Influencer Marketing บัญชี Instagram ของแบรนด์มีผู้ติดตาม 100,000 คน แต่หลังจากทำแคมเปญไปแล้วมีผู้ติดตามเพิ่มเป็น 145,000 คน
Follower Growth Rate เท่ากับ [(145,000 - 100,000) / 100,000] x 100 = 45%
ซึ่งความหมายก็คือ แบรนด์มีจำนวนผู้ติดตามเพิ่มขึ้น 45% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงก่อนการทำแคมเปญ
5. Total Number of Influencer Followers
จำนวนผู้ติดตามของอินฟลูเอนเซอร์ แสดงถึงขนาดและศักยภาพของการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย ของอินฟลูเอนเซอร์ที่แบรนด์ร่วมงานด้วย ยิ่งมีผู้ติดตามมาก ก็ยิ่งสามารถสร้างการรับรู้ต่อแบรนด์ได้มากขึ้น
ขั้นที่ 2 Middle of Funnel คือ ตัวชี้วัดที่เน้นการสร้างการมีส่วนร่วมกับแบรนด์ (Engagement)
6. Engagement
คือ ยอดการมีส่วนร่วมของผู้ชมคอนเทนต์ ไม่ว่าจะเป็นการกด Like, Comment, Share และการกด Save
ยิ่งอินฟลูเอนเซอร์มียอดเอนเกจเมนต์สูง แสดงว่าผู้ติดตามมีส่วนร่วมกับครีเอเตอร์หรือแบรนด์สูงตามไปด้วย
7. Brand Mentions
คือ การกล่าวถึงแบรนด์จากผู้คนบนสื่อสังคมออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นการใช้เครื่องหมาย # (Hashtag),
การใช้เครื่องหมาย @ (Mention) หรือการพูดถึงแบรนด์ผ่านการโพสต์ หรือคอมเมนต์ในคอนเทนต์ต่าง ๆ
ซึ่งข้อมูลจากคอมเมนต์เป็นข้อมูลอินไซต์ที่มีคุณค่ามาก เพราะเป็นข้อมูลเชิงคุณภาพ ไม่ใช่ข้อมูลเชิงปริมาณ ที่เราต้องนำไปวิเคราะห์ต่ออีกทอดหนึ่งก่อน แต่สามารถนำไปใช้พัฒนาปรับปรุงแบรนด์ของเราได้ทันที
โดยการรวบรวมการพูดถึงแบรนด์บนสื่อออนไลน์ก็สามารถทำได้ด้วยเครื่องมือ Social Listening Tools และ Brand Monitoring Tools
8. Click-Through Rate (CTR) - Web Traffic
คือ ตัวเลขที่บอกว่า คนที่เห็นโฆษณาหรือคอนเทนต์ มีอัตราการคลิกเข้ามาดูมากน้อยแค่ไหน
มีสูตรคำนวณคือ CTR = (จำนวนครั้งที่คลิก / Impression) x 100
ตัวอย่างการคำนวณ เช่น โฆษณาของเราแสดงผลบนหน้าเซิร์ช Google 1,000 ครั้ง มีคนกดเข้าไปในผลการค้นหานั้น 40 ครั้ง
แสดงว่า CTR เท่ากับ (40 / 1,000) x 100 = 4%
ซึ่งความหมายก็คือ ทุกการแสดงโฆษณาบนหน้าเซิร์ช Google 100 ครั้ง จะมีคนกดเข้ามาอ่าน 4 ครั้ง
ครั้งหน้าเราจะมีสรุป อีก 7 คำศัพท์ ที่เหลือกันนะครับ
โดย : พี่ปี (ทีม5)
ที่มา : FB MarketThink