Pareto Principle (หลักการพาเรโต้) กฎ 80/20 ทำน้อย ได้มาก
Pareto Principle (หลักการพาเรโต้) กฎ 80/20 ทำน้อย ได้มาก
หลักการพาเรโต้ หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ กฎ 80/20 เป็นแนวคิดที่ว่า 80% ของผลลัพธ์ มักจะมาจาก 20% ของสาเหตุ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ สิ่งสำคัญเพียงเล็กน้อย (20%) กลับส่งผลกระทบต่อผลลัพธ์ส่วนใหญ่ (80%)
ที่มาของชื่อ
ชื่อของหลักการนี้มาจากวิลเฟรโด พาเรโต (Vilfredo Pareto) นักเศรษฐศาสตร์ชาวอิตาลี ที่สังเกตเห็นว่า 80% ของที่ดินในอิตาลีเป็นของคนเพียง 20% ของประชากรทั้งหมด
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด
- การทำงาน: 20% ของงานที่คุณทำอาจสร้างผลลัพธ์ถึง 80% ของเป้าหมายทั้งหมด
- การขาย: 20% ของลูกค้าอาจสร้างรายได้ให้ 80% ของยอดขายทั้งหมด
- การใช้เวลา: 20% ของกิจกรรมที่คุณทำ อาจใช้เวลาไปถึง 80% ของเวลาทั้งหมด
แผนภูมิพาเรโต้ (Pareto Chart)
เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น มักจะใช้แผนภูมิพาเรโต้ในการแสดงข้อมูล ซึ่งเป็นการนำเสนอข้อมูลในรูปแบบของกราฟแท่งที่เรียงลำดับจากมากไปน้อย โดยแกนตั้งแสดงความถี่ หรือค่า และแกนแนวนอนแสดงหมวดหมู่ต่างๆ
ขอบคุณภาพจาก https://en.wikipedia.org/wiki/Pareto_chart
ประโยชน์ของหลักการพาเรโต้
- ช่วยให้โฟกัส: ช่วยให้เราสามารถระบุสิ่งที่สำคัญที่สุดและให้ความสำคัญกับสิ่งนั้นๆ
- เพิ่มประสิทธิภาพ: ช่วยให้เราทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยการลงทุนเวลาและทรัพยากรไปกับสิ่งที่สำคัญที่สุด
- ลดความยุ่งเหยิง: ช่วยให้เราสามารถตัดสินใจได้ง่ายขึ้น โดยการกำจัดสิ่งที่ไม่สำคัญออกไป
- ปรับปรุงกระบวนการทำงาน: ช่วยให้เราสามารถระบุปัญหาหลักและหาแนวทางแก้ไขได้อย่างตรงจุด
การนำหลักการพาเรโต้ไปใช้ในชีวิตประจำวัน
- การทำงาน: กำหนดงานที่สำคัญที่สุดและให้ความสำคัญกับงานเหล่านั้นก่อน
- การเรียนรู้: โฟกัสไปที่หัวข้อที่สำคัญที่สุดก่อน
- การจัดการเวลา: ใช้เวลาส่วนใหญ่กับกิจกรรมที่สร้างผลลัพธ์สูงสุด
- การจัดการเงิน: จัดสรรงบประมาณให้กับสิ่งที่สำคัญที่สุด
หลักการพาเรโต้ในแง่มุมต่างๆ ของการตลาด
ลูกค้า
- 80% ของยอดขาย มักจะมาจาก 20% ของลูกค้า ที่มีความภักดีสูงสุด
- การนำไปใช้:
- แบ่งกลุ่มลูกค้า: แบ่งลูกค้าออกเป็นกลุ่มๆ ตามมูลค่าที่สร้างให้กับธุรกิจ
- ให้ความสำคัญกับลูกค้า VIP: มอบสิทธิพิเศษและโปรโมชั่นพิเศษให้กับลูกค้ากลุ่มนี้
- ลดความสำคัญกับลูกค้าที่ไม่สร้างผลตอบแทน: อาจปรับกลยุทธ์การตลาดสำหรับกลุ่มลูกค้านี้ใหม่หรือเลิกให้ความสำคัญ
ผลิตภัณฑ์
- 80% ของกำไร มักจะมาจาก 20% ของผลิตภัณฑ์
- การนำไปใช้:
- วิเคราะห์สินค้า: วิเคราะห์ว่าผลิตภัณฑ์ใดสร้างกำไรให้มากที่สุด
- โฟกัสที่สินค้าดาวเด่น: เพิ่มการลงทุนในด้านการตลาดและการพัฒนาสินค้ากลุ่มนี้
- ลดสินค้าที่ไม่ทำกำไร: พิจารณาปรับปรุงหรือยกเลิกสินค้าที่ไม่ทำกำไร
ช่องทางการตลาด
- 80% ของยอดขาย มักจะมาจาก 20% ของช่องทางการตลาด
- การนำไปใช้:
- วิเคราะห์ช่องทาง: วิเคราะห์ประสิทธิภาพของแต่ละช่องทาง
- โฟกัสที่ช่องทางที่มีประสิทธิภาพสูงสุด: เพิ่มงบประมาณและทรัพยากรในการทำการตลาดผ่านช่องทางเหล่านี้
- ลดช่องทางที่ไม่ได้ผล ปรับลดหรือยกเลิกการใช้ช่องทางที่ไม่ให้ผลตอบแทนที่ดี
กิจกรรมทางการตลาด
- 80% ของผลลัพธ์ มักจะมาจาก 20% ของกิจกรรมทางการตลาด
- การนำไปใช้:
- วิเคราะห์กิจกรรม: วิเคราะห์ว่ากิจกรรมใดให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
- โฟกัสที่กิจกรรมที่มีประสิทธิภาพ: เพิ่มงบประมาณและทรัพยากรในการทำกิจกรรมเหล่านี้
- ลดกิจกรรมที่ไม่ได้ผล: ปรับลดหรือยกเลิกกิจกรรมที่ไม่ให้ผลตอบแทนที่ดี
ตัวอย่างการนำหลักการพาเรโต้ไปใช้ในการตลาด
- ร้านค้าออนไลน์: พบว่า 20% ของลูกค้าสร้างยอดขาย 80% จึงมุ่งเน้นการทำโปรโมชั่นและสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้ากลุ่มนี้เป็นพิเศษ
- บริษัทผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค: พบว่า 20% ของผลิตภัณฑ์สร้างกำไร 80% จึงตัดสินใจเพิ่มสายการผลิตและทำการตลาดให้กับผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้มากขึ้น
- บริษัทท่องเที่ยว: พบว่า 20% ของช่องทางการขาย (เช่น เว็บไซต์บริษัท) สร้างยอดจองห้องพักได้ 80% จึงเพิ่มงบประมาณในการพัฒนาเว็บไซต์และทำการตลาดออนไลน์
ประโยชน์ของการนำหลักการพาเรโต้มาใช้ในการตลาด
- เพิ่มประสิทธิภาพ: ช่วยให้ธุรกิจสามารถโฟกัสไปที่กิจกรรมที่สำคัญที่สุด ซึ่งจะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่คุ้มค่าที่สุด
- ลดต้นทุน: ช่วยลดต้นทุนโดยการตัดกิจกรรมที่ไม่จำเป็นออกไป
- เพิ่มผลกำไร: ช่วยเพิ่มยอดขายและกำไรให้กับธุรกิจ
- ปรับปรุงการตัดสินใจ: ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
สรุป
หลักการพาเรโต้เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการช่วยให้ธุรกิจสามารถบรรลุเป้าหมายทางการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ การนำหลักการนี้ไปใช้จะช่วยให้ธุรกิจสามารถโฟกัสไปที่สิ่งที่สำคัญที่สุด และหลีกเลี่ยงการกระจายทรัพยากรไปในหลายๆ ด้านที่ไม่จำเป็น