ผักตบชวากันกระแทก ดีกว่าโฟมยังไง? เปลี่ยนวัชพืชให้เป็นฮีโร่ของสิ่งแวดล้อม!
เนื่องจากปัจจุบันการขายของออนไลน์มีมูลค่าค่อนข้างสูง การใช้บับเบิ้ลในรูปแบบโฟมในการแพ็คสินค้ามีความอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมเนื่องจากการย่อยสลายในโฟมทำได้ยาก ทำให้สิ่งแวดล้อมเสียไปด้วยและยุคนี้ผู้คนส่วนใหญ่ต่างให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นพลาสติกหรือโฟมก็ตาม
ข้อดีของการนำผักตบชวามาใช้แทนโฟม
1.ย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ (Biodegradable)
ผักตบชวาเป็นวัสดุจากธรรมชาติและสามารถย่อยสลายได้ง่ายตามธรรมชาติ ไม่ทิ้งเศษขยะที่ใช้เวลานานในการย่อยสลายเหมือนโฟม ซึ่งใช้เวลาหลายร้อยปีในการย่อยสลาย นี่เป็นประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อมและช่วยลดปัญหาขยะที่สะสมมากขึ้นในธรรมชาติ
2.เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Eco-friendly)
ผักตบชวาไม่ปล่อยสารเคมีหรือสารพิษเมื่อถูกทิ้งลงในธรรมชาติ ในขณะที่โฟมอาจมีสารเคมีบางอย่างที่สามารถก่อให้เกิดมลพิษต่อดินและน้ำเมื่อถูกทิ้งหรือถูกเผา
3.ลดปริมาณวัชพืชในแหล่งน้ำ
ผักตบชวาเป็นพืชน้ำที่สามารถเจริญเติบโตได้เร็ว และอาจก่อปัญหาการเติบโตมากเกินไปในแหล่งน้ำ การนำผักตบชวามาใช้ในกระบวนการผลิตวัสดุกันกระแทกสามารถช่วยลดปริมาณผักตบชวาในแหล่งน้ำ และเป็นการจัดการปัญหาวัชพืชที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
4.น้ำหนักเบาและดูดซับแรงกระแทกได้ดี
ผักตบชวาแห้งสามารถอัดแน่นเพื่อใช้เป็นวัสดุกันกระแทกได้ และมีความยืดหยุ่นที่ดีในการดูดซับแรงกระแทก น้ำหนักเบาทำให้สะดวกต่อการขนส่งและลดต้นทุนในการขนส่งได้
5.ลดการใช้วัสดุสังเคราะห์ (Reducing Synthetic Materials)
การใช้ผักตบชวาเป็นวัสดุกันกระแทกช่วยลดความต้องการในการใช้วัสดุสังเคราะห์อย่างโฟม ซึ่งส่วนใหญ่ผลิตจากปิโตรเลียม ทำให้เป็นการสนับสนุนการใช้วัสดุจากธรรมชาติและช่วยลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล
6.เพิ่มมูลค่าให้กับทรัพยากรท้องถิ่น
ผักตบชวาสามารถเก็บได้ง่ายในท้องถิ่น ทำให้สามารถนำมาใช้เป็นทรัพยากรและเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจแก่ชุมชนในท้องถิ่นได้ ซึ่งต่างจากโฟมที่ต้องพึ่งพากระบวนการผลิตในอุตสาหกรรม
ข้อเสียของการนำผักตบชวามาใช้แทนโฟม
1.ความคงทนและความแข็งแรงน้อยกว่าโฟม
ผักตบชวาแห้งที่นำมาอัดเป็นวัสดุกันกระแทกอาจไม่ทนทานเท่าโฟมในกรณีที่ต้องใช้สำหรับรองรับน้ำหนักที่มากหรือการกระแทกที่รุนแรง โฟมที่ผลิตจากพลาสติกสังเคราะห์จะมีความสามารถในการรองรับน้ำหนักและการดูดซับแรงกระแทกได้ดีกว่า
2.ไม่สามารถกันน้ำได้ดี
ผักตบชวาเป็นวัสดุธรรมชาติที่มีแนวโน้มจะดูดซับน้ำ ซึ่งทำให้เหมาะสมกับการใช้งานในสภาพแวดล้อมที่แห้ง แต่หากต้องใช้งานในสภาพที่เปียกหรือชื้น อาจเกิดการเน่าเสียหรือเสื่อมสภาพได้ง่าย ในขณะที่โฟมมีความทนทานต่อน้ำมากกว่า
3.การแปรรูปและการผลิตอาจซับซ้อนกว่า
การนำผักตบชวามาใช้เป็นวัสดุกันกระแทกต้องผ่านกระบวนการแปรรูป เช่น การตากแห้งและการอัดเป็นรูปทรงต่างๆ ซึ่งอาจใช้เวลานานและต้องใช้ขั้นตอนมากกว่าโฟมที่สามารถผลิตได้ในปริมาณมากจากโรงงานอุตสาหกรรม
4.อายุการใช้งานสั้นกว่า
เนื่องจากผักตบชวาเป็นวัสดุธรรมชาติ การเสื่อมสภาพเมื่อใช้งานไปนานๆ จึงเกิดขึ้นได้ง่ายกว่าโฟมที่มีอายุการใช้งานนานกว่าโดยไม่เสียคุณสมบัติ เช่น การแตกหรือเปื่อยเมื่อใช้งานในระยะเวลานาน หรือการเกิดเชื้อราในสภาพแวดล้อมที่ชื้น
5.คุณสมบัติไม่สม่ำเสมอ
เนื่องจากผักตบชวาเป็นวัสดุธรรมชาติ คุณสมบัติต่างๆ เช่น ความหนาแน่นหรือความแข็งแรงอาจมีความแตกต่างกันไปในแต่ละรอบของการผลิต ทำให้คุณภาพของวัสดุไม่สม่ำเสมอเหมือนกับการผลิตโฟมที่สามารถควบคุมได้ในระดับอุตสาหกรรม
6.อาจต้องการพื้นที่จัดเก็บที่มากกว่า
ผักตบชวาที่ไม่ได้ถูกอัดหรือแปรรูปอาจมีปริมาตรมากและต้องการพื้นที่ในการจัดเก็บที่มากกว่าเมื่อเทียบกับโฟมที่สามารถอัดเป็นแผ่นบางๆ หรือตัดให้เข้ารูปได้
BY : ICE
ที่มา : ChatGPT